คงจะทราบกันดีอยู่ว่าประชากรในไทยนั้นโดยส่วยใหญ่จะนับถือ ศาสนาพุทธ ซึ่งก็ถือเป็นศาสนาประเทศ ทั้งนี้ เราจะเห็นได้ว่าตามวัดวาต่างๆ จะมีพระพทุธรูปให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชา ซึ่งในแต่ละวัดจะมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆให้กราบไหว้ รวมไปถึงพระพุทธรูปประจำวันเกิด รู้กันหรือไม่ว่า ที่มาพระพุทธรูปปางต่าง ๆ มาอย่างไร
การสร้างของพระพุทธรูปแต่ละปางไม่มีปรากฎสมัยที่แน่ชัด กล่าวกันว่าการสร้างพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่จะหาที่พึ่งทางใจ เป็นคติเตือนใจให้กับเหล่าพุทธศาสนิกชน นำมาผนวกกับพุทธประวัติตอนใดตอนหนึ่ง ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อบอกเล่าถึงพุทธประวัติว่า มีความเป็นมาอย่างไร ตาม Ruay 365 จะพาไปหาที่มาของพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์กับสายบุญทุกท่าน
พระราชปรารภ ในหลวงรัชกาลที่ 9
“ปางของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงพระพุทธจริยาวัตรตามพุทธประวัติ และที่มีผู้คิดสร้างขึ้นในภายหลังมีอยู่หลายปางด้วยกัน ถ้าได้รวบรวมขึ้นเรียงลำดับในพุทธประวัติให้มีคำอธิบายลักษณะของปางนั้น ๆ ตลอดจนที่มาและความนิยามในการสร้าง รวมทั้งปางต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ให้มีปางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่การศึกษาของพุทธศาสนิกชนและบรรดาผู้สนใจ”
(จากคำนำในหนังสือเรื่องพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชกุศลราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2500)
เนื่องจากมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ มากมาย ที่สร้างขึ้นมาถึง 80 ปาง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงที่มาของพระพุทธรูปปางสำคัญ ๆ ก่อน ซึ่งจะมีดังนี้
พระพุทธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชิต

พระพุทธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชิต พระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวายกขึ้น ตั้งฝ่าพระหัตถ์เสมอเสมอพระอุระ (อก) เบนฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย อันเป็นกิริยาสำรวมจิตอธิษฐานเพศบรรพชิต
ที่มาของปางอธิษฐานเพศบรรพชิต
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์จนมาถึงฝั่งแม่น้ำอโนมาจึงเสด็จลงจากหลังม้า ประทับเหนือหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำ รับสั่งแก่นายฉันนะว่าพระองค์จักบรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิต ณ ที่นี้ ให้นำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร เจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งพระทัยว่าเมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะเสด็จกลับมาเทศนาโปรดพระประยูรญาติ
พระพุทธรูปปางรับมธุปายาส

พระพุทธรูปปางรับมธุปายาส พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิแบพระหัตถ์ทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยารับถาดข้าวมธุปายาส บางแบบอยู่ในพระอิริยาบถนั่งห้อยพระบาท
ที่มาของปางรับมธุปายาส
เช้าวันเพ็ญวิสาขะ หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (ปีระกา) อันเป็นวันครบรอบพระชนมายุ 35 พรรษาของพระบรมโพธิสัตว์ นางสุชาดา ธิดาของเศรษฐีผู้หนึ่ง แห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำถาดทองคำบรรจุข้าวมธุปายาสมาแก้บนต่อรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ ครั้นแลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับ ณ โคนต้นไทร ทรงมีรัศมีออกจากพระวรกายแผ่ซ่านไปทั่วปริมณฑล เข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา จึงนำข้าวมธุปายาสไปถวายพร้อมกับถาดทองคำ พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ทั้งสองออกรับถาดข้าวมธุปายาส
พระพุทธรูปปางรับหญ้าคา

พระพุทธรูปปางรับหญ้าคา พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายื่นออกมาข้างหน้า เป็นกิริยาทรงรับหญ้าคา บางแบบทำเป็นพระอิริยาบถทรงถือหญ้าคาก็มี บางแบบมีรูปพราหมณ์กำลังยื่นหญ้าคาถวายด้วย
ที่มาของปางรับหญ้าคา
พระบรมโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นถาดทองลอยทวนกระแสน้ำดังอธิษฐาน จึงทรงโสมนัส (ดีใจ) เสด็จสู่ร่มสาละ ครั้นถึงเวลาบ่ายได้เสด็จกลับไปยังอัสสัตถโพธิพฤกษ์มณฑล (ร่มโพธิ์) ระหว่างทางได้พบกับโสตถิยพราหมณ์ถือหญ้ากุสะ (หญ้าคา) 8 กำ เดินสวนทางมา โสตถิยพราหมณ์เลื่อมใสในพระสิริที่งามสง่าของพระบรมโพธิสัตว์จึงน้อมถวายหญ้ากุสะทั้ง 8 กำ
พระพุทธรูปปางมารวิชัย

พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี บางแห่งทำรูปแม่พระธรณีนั่งบีบมวยผมประกอบ นิยมสร้างเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ที่มาของปางมารวิชัย
เมื่อครั้งที่พระบรมโพธิสัตว์ประทับ ณ โพธิบัลลังก์ พญามารประทับบนหลังช้างคีรีเมขล์ 150 โยชน์ ยกทัพมาหมายจะทำลายความเพียรของพระองค์ พญามารเนรมิตร่างสูงใหญ่มีมือนับพันถือศัสตราวุธพร้อมนำเหล่าเสนามารมากมายมืดฟ้ามั่วดิน เหล่าเทวดาทั้งหลายหนีไปหมด แต่พระบรมโพธิสัตว์มิได้หวาดกลัว พวกมารซัดศัสตราวุธเข้าใส่พระบรมโพธิสัตว์ แต่ศัสตราวุธเหล่านั้นกลายเป็นบุปผามาลัยไปสิ้น พญามารยังกล่าวทึกทักว่า รัตนบัลลังก์เป็นของตน พระบรมโพธิสัตว์ทรง
กล่าวว่า “รัตนบัลลังก์นี้เกิดมาด้วยบุญที่พระองค์สั่งสมมาแต่ปางก่อน โดยอาศัยแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีได้ปล่อยมวยผมบีบน้ำกรวดอุทิศผลบุญจากการทำทานของพระบรมโพธิสัตว์ให้ไหลพัดพาเหล่ามารไปจนสิ้น”
พระพุทธรูปปางถวายเนตร

พระพุทธรูปปางถวายเนตร พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน ลืมพระเมตรทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ข้างหน้าระหว่างพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมอยู่บนพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในพระอากาศสังวรพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์
ที่มาของปางถวายเนตร
หลังจากที่พระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขที่เกิดจากความหลุดพ้น) ณ ใต้ร่มต้นพระศรีมหาโพธิ์ 7 วัน จากนั้นเสด็จไปทรงยืนอยู่กลางแจ้ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงทำอุปหาร คือ ยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 7 วัน โดยไม่กะพริบพระเนตรเลย เพื่อบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ที่เสด็จมาทรงยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ได้นามว่า “อนิมิสเจดียสถาน”
พระพุทธรูปปางเรือนแก้ว

พระพุทธรูปปางเรือนแก้ว พระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิในเรือนแก้ว พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำที่พระชานุ (เข่า) บางแบบพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา บางแบบอยู่ในพระอิริยาบถขัดสมาธิเพชรในเรือนแก้ว
ที่มาของปางเรือนแก้ว
ในสัปดาห์ที่ 4 จากวันตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วที่เทวดาเนรมิตถวายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงพิจารณาธรรมตลอดเวลา 7 วัน สถานที่นั้นเรียกว่า “รัตนฆรเจดีย์” ในหนังสือพระปฐมสมโพธิกถา กล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ 1 – 3 พระฉัพพรรณรังสี (รัศมี 6 ประการ) ยังมิได้โอภาสออกจากพระวรกาย จนในสัปดาห์ที่ 4 เมื่อเสด็จประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ ทรงพิจารณาในเรือนแก้วแล้ว พระฉัพพรรณรังสีจึงโอภาสออกมาจากพระวรกาย
พระพุทธรูปปางนาคปรก

พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายเหมือนปางสมาธิ แต่มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธบัลลังก์ และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร
ที่มาของปางนาคปรก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากใต้ต้นไทร เสด็จไปประทับที่ใต้ต้นมุจลินทร์ (ต้นจิก) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฝนเจือลมหนาวตกพรำอยู่ตลอด 7 วันไม่ขาดสาย พญานาคราชชื่อมุจลินทร์ ราชาแห่งนาคพิภพได้ขึ้นมาจากบาดาล ขนดกายเป็นพุทธบัลลังก์ แล้วแผ่พังพานเหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระพุทธองค์ ปกป้องมิให้ลมฝน ยุง เหลือบ ริ้น ไร และสัตว์เลื้อยคลานมาต้องพระวรกาย เมื่อฝนหยุด พญานาคราชจึงจำแลงกายเป็นชายหนุ่มมาถวายนมัสการต่อพระพุทธองค์
พระพุทธรูปปางประสานบาตร

พระพุทธรูปปางประสานบาตร พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิมีบาตรวางอยู่บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร คว่ำพระหัตถ์ขวายกขึ้นไปปิดปากบาตร
ที่มาของปางประสานบาตร
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 49 วัน พ่อค้าสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้รับคำแนะนำจากเทวดาซึ่งเคยเป็นญาติกับพ่อค้าทั้งสองในอดีตชาติ ให้นำภัตตาหารน้อมถวายแด่พระพุทธองค์ เพื่อประโยชน์สุขแก่ทั้งสองสิ้นกาลนาน เมื่อตปุสสะและภัลลิกะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ร่มไม้เกด ต่างมีจิตเลื่อมใสศรัทธา จึงเข้าไปทำการอภิวาทและถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง พระพุทธองค์มีพระประสงค์จะรับ แต่บาตรที่ฆฏิการพรหมถวายในวันเสด็จออกบรรพชาได้อันตรธานไป ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จึงได้เหาะนำบาตรศิลามาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์จึงทรงประสานบาตรทั้ง 4 ใบนั้นเป็นใบเดียวกัน แล้วใช้รับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง
พระพุทธรูปปางรำพึง

พระพุทธรูปปางรำพึง พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานยกขึ้นประทับที่พระอุระ (อก) พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
ที่มาของปางรำพึง
หลังจากตรัสรู้แล้วไม่นานขณะที่ยังประทับอยู่ใต้ต้นไทร(อชปาลนิโครธ) พระพุทธองค์ทรงรำพึงว่าพระธรรมที่ได้ตรัสรู้นั้นละเอียดลึกซึ้ง ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติจึงทรงรู้สึกท้อพระทัยที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์ แต่ด้วยพระมหากรุณา พระองค์ทรงพิจารณาเก็นว่าสรพพสัตว์นั้นมีอุปนิสัยแตกต่างกันกันไป เปรียบดังดอกบัวในน้ำ บางดอกอยู่เหนือน้ำ บางดอกอยู่ปริ่มน้ำ และบางดอกอยู่ในน้ำ จึงทรงดำริที่จะแสดงธรรมตามอุปนิสัยแห่งสัตว์นั้น ๆ
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร

พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองแบตั้งขึ้นยื่นออกไปข้างหน้า เสมอพระอุระ (อก) เป็นกิริยาห้าม บางแบบเป็นพระทรงเครื่อง
ที่มาของปางห้ามสมุทร
ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปประกาศพระศาสนายังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงขอประทับอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ ผู้เป็นหัวหน้าชฎิลซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของมหาชนในแคว้นมคธ ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ เพื่อให้อุรุเวลกัสสปะคลายความพยศลง พระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำที่ไหลบ่ามาจากทุกสารทิศมิให้เข้ามาในที่ประทับ และเสด็จจงกรมภายในวงล้อมที่มีน้ำเป็นกำแพง เหล่าชฎิลพายเรือมาดู เห็นเป็นอัศจรรย์จึงยอมรับในพุทธานุภาพ และขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ
พระพุทธรูปปางประทานโอวาท

พระพุทธรูปปางประธานโอวาทหรือปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้น จีบนิ้วพระหัตถ์ไว้เสมอพระอุระ (อก) เป็นกิริยาทรงประทานโอวาทปาติโมกข์
ที่มาของปางประทานโอวาท
ณ พระเวฬวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประมาณ 9 เดือน พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ที่ประชุมสงฆ์สาวก ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมที่ครบองค์ 4 ได้แก่
- วันนั้นเป็นวันดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
- พระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
- พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6
- พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ คือ เป็นผู้ที่พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทด้วยพระองค์เอง
ในวันนั้นพระองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นแนวทางในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ใจความสำคัญแห่งพระโอวาทนั้น ได้แก่ ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส วันเพ็ญเดือน 3 ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วันมาฆบูชา”
พระพุทธรูปปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

พระพุทธรูปปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ (อก) พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้าง พระวรกาย บางแบบพระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงตามปกติ บางแบบพักพระชานุ (เข่า)
ที่มาของปางแสดงปาฏิหาริย์
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระประยูรญาติครั้งแรก ญาติผู้ใหญ่หลายคนถือตนคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคราวลูกบ้าง คราวหลานบ้าง หรือเป็นรุ่นน้องบ้าง จึงไม่ยอมถวายบังคมให้ความเคารพ
พระพุทธองค์ประสงค์จะทำให้พระญาติเหล่านั้นลดทิฐิมานะลง จึงแสดงปาฏิหาริย์โดยเหาะขึ้นไปบนอากาศ เนรมิตที่จงกรมแก้ว เสด็จเดินจงกรม ณ ที่นั้น และแสดงปาฏิหาริย์อื่น ๆ อีกมาก จนพระญาติหมดความกระด้างกระเดื่องฟังธรรมเทศนาด้วยความเลื่อมใส
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร

พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรราวสะเอวมีบาตรวางอยู่ที่ฝ่าพระหัตถ์ในท่าประคอง
ที่มาของปางอุ้มบาตร
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเวสสันดรชาดกแล้ว เหล่าพระประยูรญาติต่างถวายนมัสการทูลลากลับสู่พระราชสถาน แต่ไม่มีใครทูลนิมนต์พระพุทธองค์ให้รับภัตตาหารเช้าเลย โดยเข้าใจเอาเองว่า คงเสด็จไปเสวยภัตตาหารในพระราชนิเวสน์ ครั้งถึงรุ่งเช้า พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปางก่อน เมื่อเสด็จมาประทับ ณ พระนครของพุทธบิดา ได้เสด็จบิณฑบาตเพื่อโปรดมหาชน พระพุทธองค์จึงออกบิณฑบาตตามประเพณี
พระพุทธรูปปางโปรดพุทธบิดา

พระพุทธรูปปางโปรดพุทธบิดา พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าประคองบาตร พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์
ที่มาของปางโปรดพุทธบิดา
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตในพระนคร พระเจ้าสุทโธทนะทรงเห็นว่าเป็นการเสื่อมพระเกียรติของโอรสกษัตริย์ พระพุทธองค์ตรัสอธิบายว่าเป็นพุทธประเพณี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต และที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตต่างก็ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต จากนั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนาอริยวังสิกสูตรแก่พุทธบิดา
ความว่า “เป็นบรรพชิตไม่ควรประมาทในอาหารผู้ประพฤติสุจริตธรรม ย่อมประสบสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต” เมื่อจบพระธรรมเทศนาพุทธบิดาก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน และกราบทูลอาราธนา พระพุทธองค์พร้อมพระสงฆ์สาวกให้เสด็จไปรับอาหารบิณฑบาต ณ พระราชนิเวศน์ พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุอรหัตผลในเวลาต่อมา
สรุป
“ปาง” หมายถึง พระจริยาของพระพุทธเจ้าที่ปรากฎในพุทธประวัติ ตอนนี้คงจะพอทราบกันแล้วว่า ที่มาของพระพุทธรูปปางต่าง ๆ มีที่มาอย่างไรบ้าง หวังว่าประวัติโดยย่อของแต่ละปาง จะเป็นประโยชน์ เหมาะแก่การจดจำนำไประลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ หากมีโอกาสครั้งต่อไป Ruay จะนำที่มาของพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่เหลือมาเพื่อเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนิกชนต่อไป
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก http://www.dmc.tv/ (หนังสือปางพระพุทธรูป หัวข้อธรรมในคำสอน)
ภาพประกอบจาก วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรวิหาร จังหวัดนครปฐม